เว็บไซต์​ ดร.สมชาย​ หาญ​หิรัญ​ ช่องทางอีกช่องทางหนึ่งในการแลกเปลี่ยนความคิด ความรู้และข่าวสารครับ

thzh-CNenja

เล่าตามที่เห็นพูดตามที่คิด “วิถีปกติใหม่” ที่ “ไม่ปกติ”

 

วิกฤตไวรัสโควิดทำให้เราได้ยินคำว่า New Normal หรือ วิถีปกติใหม่ หรือ วิถีชีวิตใหม่ก็แล้วแต่ ทุกคนมองว่าหลังโควิดผ่านไปแล้ว เมื่อทุกอย่างกลับมาเป็นปกติแล้ว ชีวิตเราจะไม่เหมือนเดิม

เป็นที่เข้าใจกันว่า ไวรัสโควิด ได้เปลี่ยนวิถีชีวิตเราไปจากเดิม และมนุษย์ก็เก่งพอที่จะปรับตัวเพื่อดำรงเผ่าพันธุ์ตัวเอง ต่อไปได้ เหมือนกับที่บรรพบุรุษเราเคยผ่านการปรับเปลี่ยน “วิถีชีวิตใหม่” มาหลายครั้งหลายครา จนกระทั่งพาเผ่าพันธุ์ Homo-sapiens อย่างเราๆ อยู่รอดและครองโลกเหนือเผ่าพันธุ์อื่น ๆ มาจนถึงวันนี้ และครั้งนี้ ก็เช่นกัน เราก็จะอยู่ต่อไป แต่เป็นในแบบ วิถีชีวิตใหม่
อย่างไรก็ตาม แม้ว่า New Normal ของแต่ละคนนั้นอาจต่างกันไปตามความปรารถนา ความพอใจ ที่ไม่เหมือนกัน และยิ่งในทางธุรกิจแล้ว วิถีปกติใหม่อาจจะไม่ใช่เพียงแค่วิธีการทำงาน แต่อาจรวมไปถึงรูปแบบธุรกิจ ลูกค้า หรือแม้แต่ตัวผลิตภัณฑ์และบริการ แต่สิ่งที่เราคาดเดาจากธุรกิจก็คือ วิถีใหม่ที่เปลี่ยนไปนี้ บางอย่างอาจเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ หลายธุรกิจอาจดำรงอยู่ต่อไปได้ในรูปแบบใหม่ และบางราย อาจต้องเลิก และหันไปทำธุรกิจอย่างอื่นแทน
ผมตะลอนดูแนวคิด ข้อแนะนำ คำทำนาย ของกูรู ดัง ๆ ในหลายสำนักที่มีชื่อเสียง ว่าภาพของ วิถีปกติใหม่เป็นอย่างไร ซึ่งทุกคนมีภาพที่ต่างกัน และไม่มีใครบอกได้ชัดว่า New Normal จะเป็นอย่างไร แต่ที่ทุกคนเห็นคล้าย ๆ กันว่าในยุคหลังวิกฤติไวรัสครั้งนี้ อะไรคือสิ่งสำคัญในการทำธุรกิจของผู้ประกอบการ อาจจะมีรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้นที่ต่างกันไปบ้าง ผมลองสรุปในแบบของผมก็แล้วกันว่าผู้ประกอบการต้องปรับวิธีคิดใหม่ (Reset Mindset) หากต้องการจะอยู่รอดไม่ว่าคุณจะทำธุรกิจอะไร ผมเรียกว่า “5 เลิก” ก็แล้วกัน

1. เลิกคิดว่าธุรกิจของเราจะกลับมาเหมือนเดิม จะเป็นความผิดพลาดอย่างมหันต์ หากเราพยายามรักษาสภาพการทำงานหรือกลยุทธ์ทางธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากโควิด ไม่ว่าชะลอการทำงาน หยุดกิจการชั่วคราว หรือพยายามกู้หนี้ยืมสินเพื่อพยุงธุรกิจไปวัน ๆ และหวังว่าเมื่อโควิดจากไป ทุกอย่างจะกลับมาเหมือนเดิม แล้วธุรกิจของเราก็จะกลับไปสู่จุดเดิม และเดินไปตามปกติเหมือนที่เคยเป็นมา ผมเชื่อว่าเรื่องเหล่านี้จะไม่มีทางเกิดขึ้นแน่ ๆ เพราะในช่วงปีสองปีของวิกฤติโควิด ได้ทำให้คู่แข่งและลูกค้า รวมทั้งสภาพแวดล้อมอื่น ๆ เปลี่ยนไป จากเดิม การเปลี่ยนแปลงเหล่านั้นทำให้ทุกคนมีความเคยชินใหม่ที่ไม่เหมือนเดิม หากเรายังทำแบบเดิมก็ไม่รอด เราต้องมองภาพธุรกิจของเราในสภาพแวดล้อมใหม่ทั้งหมด มองความต้องการของลูกค้าและความสามารถคู่แข่งที่ไม่เหมือนเดิม อาจหมายถึงคู่แข่งรายใหม่ที่เข้ามา รวมถึงสภาพแวดล้อมธุรกิจ ไม่ว่ากฎหมาย ระบบภาษี มาตรการของรัฐ นโยบายการค้าระหว่างประเทศที่เปลี่ยนไป ซึ่งสิ่งเหล่านี้ทำให้ธุรกิจของเราไม่มีทางเหมือนเดิมเมื่อวิกฤติโควิดจางไป หากเรายังคิดถึงอดีตที่รุ่งเรืองและหวังว่าจะเหมือนเดิมหลังโควิด รับรองได้ว่าธุรกิจของเราได้หายไปพร้อมกับโควิดแน่ ๆ

2. เลิกคิดว่าคู่แข่งสู้เราไม่ได้ แม้ว่าก่อนวิกฤตินั้นเราอาจเหนือกว่าคู่แข่งมากน้อยขนาดไหนก็เอามาเป็นฐานในการคิดกับคู่แข่งในวิถีปกติใหม่ไม่ได้อีกแล้ว เพราะในช่วงวิกฤติที่ทุกอย่างมืดมิดนั้น เราไม่เห็น ไม่รู้ว่าคู่แข่งเรามีการปรับตัว เปลี่ยนแปลงอย่างไร เราต้องระวังและไม่ประมาท ต้องคิดเสมอว่าคู่แข่งของเราในสภาพแวดล้อมธุรกิจใหม่นั้นจะติดอาวุธพร้อมทั้งเทคโนโลยีใหม่ อาจมีพันธมิตรหรือรูปแบบและกลยุทธ์ใหม่ ๆ ในการทำธุรกิจ ที่ไม่เหมือนเดิม และอาจก้าวร้าวมากขึ้น ซึ่งหากมองในเชิงเปรียบเทียบแล้ว คู่แข่งจะน่ากลัวแค่ไหน จะเก่งกว่าเราหรือไม่นั้น ก็ขึ้นอยู่กับเราว่าเราเก่งขึ้น พร้อมขึ้นมากขนาดไหน นอกจากนี้ ต้องมองให้กว้างกว่าเดิม เพราะผมเชื่อว่าในสภาพแวดล้อมธุรกิจใหม่ใน New normal จะมีคู่แข่งใหม่ ๆ เกิดขึ้นมากกว่าเดิม คู่แข่งใหม่อาจไม่ใช่คนที่เคยทำธุรกิจเดียวกับเรามาก่อน แต่เขาจะเข้ามาทำธุรกิจเดียวหรือใกล้เคียงกับเรา โดยสามารถตอบสนองความพอใจและความต้องการของลูกค้าได้ทดแทนธุรกิจเรา คู่แข่งใหม่ที่เข้ามาจะเก่ง จะแปลกใหม่ และน่ากลัวกว่าคู่แข่งเก่าด้วยซ้ำไป จึงไม่แปลกใจที่เราเห็นเทสล่าซึ่งชำนาญด้านระบบคอมพิวเตอร์เข้ามาทำธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้าที่เขย่าวงการยานยนต์เดิม ๆ ทั้งหมด หรือเจ้าพ่อ E-commerce ที่ไม่เคยทำธนาคารมาสร้างระบบธนาคารออนไลน์ที่ทำให้ธนาคารใหญ่ ๆ หนาว ๆ ร้อน ๆ

3. เลิกคิดว่าลูกค้าจะเหมือนเดิมและรักเราตลอด ในวิถีชีวิตใหม่นั้นธุรกิจของเราจะมีคู่แข่งที่มาพร้อมกับกลยุทธ์ใหม่ๆ ข้อเสนอใหม่ๆ เพื่อแย่งลูกค้าเรา ซึ่งวิถีชีวิต ความเป็นอยู่ที่ปรับเปลี่ยนไปในช่วงวิกฤติ รวมถึงรายได้ และอื่น ๆ ทำให้ลูกค้ามีพฤติกรรม ความชอบ รสนิยม วิถีชีวิตที่แตกต่างไปจากเดิม รวมทั้งความเชื่อ ความเข้าใจ ที่เปลี่ยนไปจากการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารที่ง่ายขึ้น และหลายหลายจากทุกสารทิศ อีกทั้งการเห็นโอกาสใหม่ๆ ที่ให้ประโยชน์กับเขามากกว่าเดิม จากสภาพการแข่งขันธุรกิจที่รุนแรงและข้อเสนอที่หลากหลายมากขึ้นนั้น การที่คิดว่าลูกค้าเดิม ยังรักและซื่อสัตย์ต่อธุรกิจเราเฉกเช่นเดิมก่อนวิกฤติไวรัสนั้นเป็นความคิดที่ผิดอย่างมหันต์ ดังนั้น เมื่อเดินเข้าสู่วิถีปกติใหม่ อย่าหวังว่าลูกค้าของเราจะกลับมาหาเราอัตโนมัติด้วยความภักดีเดิม ๆ เราต้องเริ่มใหม่ ด้วยวิธีและกลยุทธ์ใหม่ ๆ ที่จะสร้างความรักและภักดีให้กับลูกค้าทุกคนใหม่หมด แม้เขาจะเป็นลูกค้าเดิมก็ต้องใช้วิธีใหม่เพื่อให้เขารักเราเหมือนเดิม ไม่เช่นนั้นเขาหันไปรักคนอื่น เพราะมีคนรอแย่งมากขึ้นกว่าเดิม

4. เลิกคิดว่าในวิถีชีวิตปกติใหม่นั้นจะ “ปกติ” แม้ว่าเราจะสามารถเดินเข้าสู่วิถีปกติใหม่ หรือ New Normal แต่ในวิถีปกติใหม่นั้น จะ “ไม่ปกติ” เหมือนที่เราเคยชิน เราต้องไม่คิดว่าเราสามารถดำเนินธุรกิจในวิถีใหม่อย่างปกติได้ แต่เป็น สิ่งปกติที่เราต้องอยู่อย่างไม่ปกติ และคิดว่าสภาพปกติปัจจุบันอยู่กับเราไม่นาน เราต้องเฝ้ามองไปข้างหน้าเสมอว่า New normal ใหม่จะมาอีกเมื่อไร ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการมีความเสี่ยงเสมอในทุกวินาทีของการทำธุรกิจในวิถีปกติใหม่นี้ จะเป็นวิถีที่ธุรกิจจะไม่มีเวลาความสุขและสบายใจกับการทำงาน แต่ต้องมองให้ได้ว่าเป็นวิถีชีวิตที่พยายามมองภาพไปข้างหน้าเสมอว่าวิธีใหม่อีกขั้นหนึ่งต่อไปนั้นจะมีภาพเป็นอย่างไร พูดง่าย ๆ เราไม่สามารถอยู่นิ่งได้ในวิถีชีวิตใหม่ในทุกมิติของการทำธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของคู่แข่ง ลูกค้า การพัฒนาองค์กร การสร้างนวัตกรรม และกลยุทธ์ธุรกิจ หากรู้สึกว่าสบายตัว สบายใจในวิถีปกติใหม่เมื่อไร ให้ตระหนักได้ว่าความซวยจะมาเยือนเราแล้ว

5. เลิกคิดที่จะเก่งคนเดียว การเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วในทุกมิติ ทั้งนวัตกรรม กลยุทธ์ กฎ ระเบียบ การเมือง สังคม และพฤติกรรมผู้บริโภค ทำให้ทุกเรื่อง ทุกด้านต้องมีการทำงานเป็นกลุ่ม เป็นทีม และธุรกิจก็เช่นกัน การพัฒนาและเติบโตโดยทำทุกอย่างคนเดียว แบบข้ามาคนเดียวในโลกปกติใหม่เป็นเรื่องที่ลำบาก เพราะเทคโนโลยี นวัตกรรม ความรู้เปลี่ยนไปไวมากกว่าแต่ก่อน แถมยังหลากหลายจนยากที่ใครคนหนึ่งจะทำได้ดีทุกอย่าง หรือแม้แต่บริษัทใหญ่ที่มีทุกอย่างพร้อมที่จะทำเองแต่ก็อาจมีต้นทุนที่สูงกว่า หรือใช้เวลานานกว่า ดังนั้น ในปัจจุบัน เราจะเห็นการขยายตัวของบริษัทหลายแห่ง แม้ตนเองจะมีขนาดใหญ่ มีทุนมาก มีความเข้มแข็ง ทางการตลาดสูง ก็ยังมีการทำงานร่วมกับสตาร์ทอัพเล็ก ๆ เพื่อให้ธุรกิจของตนเองมีความเข้มแข็งและเติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งกลยุทธ์ในการทำงานร่วมกับคนอื่น ๆ ก็แล้วแต่ความถนัดของแต่ละราย เช่น บริษัท Xiaomi สร้างระบบนิเวศน์สนับสนุนสตาร์ทอัพ ไม่ว่าเทคโนโลยี เงินทุน หรือการตลาดเพื่อให้สตาร์ทอัพเข้ามาอยู่ในเครือข่ายที่มีการผลิตสินค้าที่เชื่อมโยงกับธุรกิจหลักของบริษัท ส่งผลทำให้มีสตาร์ทอัพที่มีนวัตกรรมใหม่ออกสู่ตลาดภายใต้กลยุทธ์นี้กว่า 300 แบรนด์ ส่งผลต่อการขยายตัวของ Xiaomi ทางด้านรายได้และอำนาจ ทางการตลาดสินค้านวัตกรรมอย่างมาก จนกลายเป็น 1 ใน 500 Global ของ Fortune ทั้ง ๆ ที่ตั้งมาสิบปีนิด ๆ เท่านั้นเอง แถมยังทำให้บริษัทตัวเองเป็นเสมือนหนึ่งเป็นสตาร์ทอัพโดยตัวเองไม่ต้องเป็นสตาร์ทอัพ มีการเปลี่ยนแปลง พัฒนาอย่างต่อเนื่องจากพันธมิตรที่เข้ามาร่วม
ทั้งหมด 5 เลิก นั้นเป็นการรีเซ็ตวิธีคิด หรือทุกคนต้อง reset our mind ในการทำธุรกิจใหม่ทั้งหมด เพราะสภาพแวดล้อมในวิถีปกติใหม่ ทุกสภาพจะไม่อยู่เป็นปกติ ทุกวินาที ทุกอย่างพร้อมจะขยับ พร้อมเคลื่อนไหวและเป็นไปอย่างไม่ปกติ อยู่ตลอดเวลา การจัดการความเสี่ยงในทุกมิติและในทุกเรื่องเป็นสิ่งที่ธุรกิจต้องจัดการให้ได้ ไม่เช่นนั้น “ความไม่ปกติ” จะจัดการกับเรา … ครับ

 

 

ที่มา https://www.thansettakij.com/blogs/columnist/tell-as-you-see

รวบรวมข้อมูลภาพ https://harnhirun.net/

---------------------------------------------

สนใจเรื่องราวแหล่งเรียนรู้ออนไลน์เพิ่มเติมคลิกที่นี่

เล่าตามที่เห็นพูดตามที่คิด รวมบทความจากฐานเศรษฐกิจ

---------------------------------------------